สำนักราชบัณฑิตยสภา

The Journal of the Royal Institute of Thailand Vol. 37 No. 1 Jan.-Mar. 2012 ๑๕๐ ปี ทฤษฎี วิ วั ฒนาการของชาลส์ ดาร์วิ น 106 ประสานแนวคิด “ การคัดเลือกตามธรรมชาติ” กลาง ค.ศ. ๑๘๕๗ ดาร์วินได้รับจดหมาย ๒ ฉบับจากวอลเลซเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับบทความ ทางวิชาการของเขาที่แนบมาด้วย แต่วอลเลซต้องผิดหวังเพราะดาร์วินไม่ได้ให้ความเห็นอะไรมากไปกว่า บอกให้วอลเลซรับรู้ว่า ดาร์วินเองก็ก� ำลังเขียนหนังสือเล่มใหญ่ในเรื่องคล้าย ๆ กัน ซึ่งมีความก้าวหน้า มาด้วยดีเกินกว่าครึ่งเล่มแล้ว หลังจากนั้นไม่นานวอลเลซต้องล้มหมอนนอนเสื่อจากอาการป่วยด้วย เชื้อไข้มาลาเรีย ท� ำให้ความคิดของเขาสับสนและยุ่งเหยิงมากขึ้น ในขณะเดียวกันวอลเลซก็นึกถึงหนังสือ ของมอลทัสที่เขาเคยอ่านมานานแล้ว คือ “ An Essay on the Principle of Population ” (๑๗๙๘) ซึ่งบรรยายเกี่ยวกับประชากรที่ถูกตรวจสอบและที่ไม่ได้ถูกตรวจสอบ ท� ำให้ความคิดของวอลเลซ ปะทุบรรเจิดจ้าขึ้นมาในทันทีทันใดเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ วอลเลซ จึงเขียนจดหมายถึงเฮนรี เบตส์ เพื่อนคนสนิท เพื่อแจ้งให้ทราบถึงแนวความคิดนี้และบอกเบตส์ด้วยว่า ดาร์วินก็ก� ำลังศึกษาเรื่องวิวัฒนาการเช่นเดียวกัน วอลเลซส่งบทความที่เขาเขียนขึ้นมาใหม่ในหัวข้อเรื่อง “ On the tendency of varieties to depart indefinitely from the original type ” และส่งให้ดาร์วินช่วยประสานงานกับบรรณาธิการ เพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในประเทศอังกฤษ เอกสารดังกล่าวมาถึงมือดาร์วินเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ค.ศ. ๑๘๕๘ เมื่อดาร์วินได้อ่านจดหมายและบทความของวอลเลซแล้วก็รู้สึกตะลึงและตกใจมาก เพราะทุกค� ำพูดที่วอลเลซเขียนบรรยายไว้นั้นมันคือบทสรุปที่ตรงกับ “ทฤษฎีวิวัฒนาการโดยการคัดเลือก ตามธรรมชาติ” ที่ดาร์วินเขียนอธิบายไว้อย่างละเอียดในต้นร่างของหนังสือเล่มใหญ่ที่เขาก� ำลังด� ำเนินการ อยู่อย่างขะมักเขม้น แต่บทความของวอลเลซยังขาดข้อมูลพื้นฐานด้านการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ ของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดเมื่อเทียบกับข้อมูลและบทวิเคราะห์อย่างละเอียดที่ดาร์วินได้ยกร่างไว้ ในหนังสือเล่มใหญ่ ดาร์วินจึงรีบน� ำเรื่องนี้ไปปรึกษาหารือกับนักวิชาการชั้นน� ำของอังกฤษที่ใกล้ชิดกับเขาคือ ศาสตราจารย์ไลเอลล์และศาสตราจารย์โจเซฟ ฮุกเกอร์ (Joseph Hooker) ว่าจะจัดการอย่างไรดีกับ กรณีเช่นนี้ ทั้งไลเอลล์และฮุกเกอร์เข้าใจในความกังวลและร้อนใจของดาร์วินเพราะเห็นว่าดาร์วินได้ท� ำงาน วิจัยมาอย่างหนักตลอดเวลากว่า ๒๐ ปี นักวิทยาศาสตร์ทั้ง ๒ คนจึงได้ประสานผลประโยชน์ของดาร์วินและ วอลเลซได้อย่างนิ่มนวลและลงตัวโดยจัดการให้ดาร์วินและวอลเลซ (รูปที่ ๓) น� ำเสนอผลงานวิจัยพร้อมกัน ทั้ง ๒ คนในที่ประชุมวิชาการของสมาคมลินเนียนแห่งกรุงลอนดอน (The Linnean Society of London) ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๕๘ และตีพิมพ์ผลงานของทั้ง ๒ คน ทันทีในวารสารวิชาการของสมาคมฯ เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่นักธรรมชาติวิทยาทั้งสอง (รูปที่ ๔)

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=