สำนักราชบัณฑิตยสภา

The Journal of the Royal Institute of Thailand Vol. 37 No. 1 Jan.-Mar. 2012 ๑๕๐ ปี ทฤษฎี วิ วั ฒนาการของชาลส์ ดาร์วิ น 104 ซึ่งสามารถอธิบายความแปรผันของลักษณะทางสันฐานวิทยาของพืชและสัตว์ที่เขาได้สังเกตเห็น ในประชากรธรรมชาติและที่ได้จากผลการทดลองผสมพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ที่บ้านของเขา ดาร์วินทยอยเขียนรายงานการศึกษาวิจัยตัวอย่างต่าง ๆ ที่เก็บมาได้หลายเรื่อง อาทิ ข้อมูลทาง ธรณีวิทยาในทวีปอเมริกาใต้โดยเฉพาะหมู่เกาะกาลาปากอส ชีววิทยาของไส้เดือนดิน การเกิดหมู่เกาะ ปะการังและชีววิทยาของเพรียง และใน ค.ศ. ๑๘๔๒ เขาเริ่มเขียนต้นร่างฉบับย่อ (sketchbook) ด้วยดินสอ เกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีความยาวเพียงประมาณ ๓๕ หน้า และอีก ๒ ปีต่อมาเขาก็เพิ่มเติมข้อมูลต่าง ๆ ในต้นร่างฉบับย่อเล่มเก่าจนได้ต้นร่างฉบับใหม่ที่มีความยาวถึง ๒๓๐ หน้า แต่ดาร์วินก็ยังไม่กล้าตีพิมพ์ ทฤษฎีวิวัฒนาการเพราะเกรงว่าอาจจะผิดพลาดได้ถ้ายังไม่มีข้อมูลสนับสนุนเพียงพอ ประกอบกับดาร์วินเป็น คนละเอียดและให้ความส� ำคัญต่อข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้อง เขาจึง ทบทวน อ่าน คิด เขียน และแก้ไขต้นฉบับ หลายครั้งเพื่อให้ได้ใจความสมบูรณ์มากขึ้นตามล� ำดับ ท� ำให้งานเขียนเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ต้องล่าช้ายืดเวลาออกไป ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากปัญหาสุขภาพของเขาเอง แต่ส่วนใหญ่ดาร์วินยังใจเย็น ก้มหน้าก้มตาศึกษาหาข้อมูลทางวิชาการมาสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาอย่างไม่ย่อท้อ จนกระทั่ง ใน ค.ศ. ๑๘๕๖ ดาร์วินก็เขียนงานเพิ่มเติมจากต้นร่างฉบับเดิมโดยการเร่งเร้าและกระตุ้นเตือนของ ศาสตราจารย์ไลเอลล์ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการวิจัยของดาร์วินเสมอมา เพราะไลเอลล์ได้ทราบว่ามีนักธรรมชาติ วิทยาชาวอังกฤษชื่อ อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ (Alfred Russel Wallace) ซึ่งก� ำลังศึกษาพืชและสัตว์ ในหมู่เกาะมาเลย์และอินโดนีเซียเกี่ยวกับความหลากหลายของสปีชีส์และการเปลี่ยนแปลงของสปีชีส์ เช่นเดียวกับดาร์วิน การเชื่อมโยงกับผลงานของวอลเลซ อัลเฟรด วอลเลซ เกิดเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ค.ศ. ๑๘๒๓ ในครอบครัวที่มีฐานะการเงินไม่สู้ดีนัก เขาต้องออกจากโรงเรียนชั้นมัธยมศึกษาเมื่ออายุเพียง ๑๓ ปี เพื่อช่วยพี่ชายท� ำงานด้านการส� ำรวจและ การก่อสร้างนานถึง ๗ ปีก่อนที่เขาจะไปเป็นครูสอนการเขียนแบบและการส� ำรวจท� ำแผนที่ ในช่วงเวลานี้ เองที่วอลเลซได้พบกับ เฮนรี เบตส์ (Henry Bates) นักธรรมชาติวิทยาและนักเก็บสะสมแมลงชาวอังกฤษ ท� ำให้วอลเลซได้เรียนรู้และหันมาสนใจศึกษาและเก็บสะสมแมลงด้วย ในที่สุดทั้ง ๒ คนก็ตัดสินใจเดินทาง ไปท่องเที่ยวผจญภัยในป่าแอมะซอน ประเทศบราซิลใน ค.ศ. ๑๘๔๘ และจับแมลงสวยงามส่งขายที่อังกฤษ เพื่อเป็นรายได้เลี้ยงชีพ ท� ำให้วอลเลซกลายเป็นนักธรรมชาติวิทยาโดยปริยายและท่องเที่ยวไปทั่วบราซิล วอลเลซเดินทางไปท� ำงานวิชาการอิสระในหมู่เกาะมาเลย์ (ประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน) และ ประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ ค.ศ. ๑๘๕๔ ถึง ค.ศ. ๑๘๖๒ วอลเลซมีรายได้จากการขายสัตว์ป่า ได้แก่ นกสวยงาม

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=