ปีที่ ๓๘ ฉบับที่ ๒ เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖
The Journal of the Royal Institute of Thailand Vol. 38 No. 2 April-June 2013 32 การปรับตัวของประเทศไทยในยุคโลกาภิวัตน เอเชียรุ งโรจน และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คัมภีร ศาสนาโดยอิสระจากพระสันตะปาปา การปฏิวัติวิทยาศาสตร การทําข อตกลงกฎบัตรใหญ จนถึง การปฏิวัติอุตสาหกรรม ทําให ชิงช าทางตะวันตกซึ่งเคยอยู ติดพื้นดินนั้นกระดกขึ้น เนื่องจากความเจริญ ทางวิทยาศาสตร และเทคโนโลยี ป นไฟและเรือกลไฟ รวมตลอดทั้งการจัดตั้งสังคมที่เข ากับยุคสมัย โดยยุโรปมีฐานความคิดทางปรัชญา กฎหมาย และการปกครองบริหาร มาจากวัฒนธรรมกรีกและโรมัน จึงทําให เกิดจุดเปลี่ยนผ านที่สําคัญ ชิงช าตะวันออกเริ่มลดตํ่าลงสู พื้นดิน ในขณะที่ตะวันตกโด งสูงขึ้น เริ่มต นจากการที่มหาอํานาจทางเอเชียคืออินเดียตกเป นเมืองขึ้นของอังกฤษ และต อมา เมื่อ ๑๗๐ กว าป มาแล วจีนแพ สงครามฝ น (Opium War) ซึ่งเป นการพ ายแพ ของจักรวรรดิจีนที่ยิ่งใหญ ต อ “ ผีผมแดง ” และ “ คนเถื่อน ” แดนไกล เมื่อ ค . ศ . ๑๙๔๗ อินเดียได รับเอกราช และเมื่อ ค . ศ . ๑๙๔๙ เหมา เจ อตง (Mao Zedong) ยึดแผ นดินใหญ ได เหมาได ประกาศที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tian Anmen) เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ค . ศ . ๑๙๔๙ ว า “ จีนจะไม ถูกเหยียบยํ่าศักดิ์ศรีอีกต อไป ” กล าวอีกนัยหนึ่ง จีนนั้น ถูกเหยียบยํ่าศักดิ์ศรีมากว า ๑ ศตวรรษหลังสงครามฝ น และหลังจากนั้นก็ใช เวลาในการปรับตัว ทั้งจีนและอินเดียต างต อสู ดิ้นรนให หลุดพ นจากแอกของความล าหลัง ความยากจน แต เนื่องจากทั้ง ๒ ประเทศเป นประเทศใหญ ใน ค . ศ . ๑๙๔๙ จีนมีประชากรประมาณ ๕๔๐ ล านคน อินเดียประมาณ ๓๐๐ ล านคน ในป จจุบันจีนมีประชากรกว า ๑ , ๓๐๐ ล านคน อินเดียมีประชากร ๑ , ๑๕๐ ล านคน แต ทั้ง ๒ ประเทศมีศักยภาพที่จะพัฒนาจนเป นมหาอํานาจได ดังเดิม ดังนั้น ใน ค . ศ . ๑๙๗๖ เมื่อผู เขียนกลับจากเยี่ยมเยียนประเทศจีนระหว างที่มีการปฏิวัติ วัฒนธรรม ( ค . ศ . ๑๙๖๖ – ๑๙๗๖ ) ผู เขียนได ไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ น และ ได กล าวว า จีนจะเป นมหาอํานาจและลํ้าหน าญี่ปุ นภายในไม กี่ทศวรรษ และหลังจากผู เขียนกลับมา ประเทศไทย ก็ได เดินทางไปอินเดียหลายครั้ง ได กล าวกับนักวิชาการทั้งจุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัยและ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ว า จีนและอินเดียจะเป นมหาอํานาจ นักวิชาการส วนใหญ ไม เชื่อและมองว า เป นเรื่องขบขัน ที่ผู เขียนวิเคราะห ว าจีนและอินเดียจะเป นมหาอํานาจนั้นก็ได อาศัยทฤษฎีของ เอ . เอฟ . เค . ออร กันสกี (A. F. K. Organski) ที่ว า การพัฒนาอํานาจแห งชาติ (National Power) จะต องเริ่มจาก การพัฒนาความเติบโตแห งชาติ (National Growth) หรือกล าวอีกนัยหนึ่ง ความเติบโตแห งชาติจะนํา ไปสู อํานาจแห งชาติ กล าวคือ จะเป นประเทศที่มีอํานาจต อรอง มีเกียรติและศักดิ์ศรีในสังคมนานาชาติ โดยจะต องมีตัวแปร ๕ ตัวดังต อไปนี้ ๑ ) ต องมีการพัฒนาระบบการเมืองที่ประชาชนมีส วนร วม ไม ว าจะเป นระบบประชาธิปไตย สังคมนิยม หรือฟาสซิสต ๒ ) ต องมีการพัฒนาเศรษฐกิจจากเกษตรไปสู อุตสาหกรรมและใช สมองกล ซึ่งออร กันสกี ถือว าเป นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ ๒ 23-49 Mac9.indd 32 10/8/13 7:12 PM
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=