ปีที่ ๓๘ ฉบับที่ ๒ เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖
บรรจบ บรรณรุจิ 145 วารสารราชบัณฑิตยสถาน ป ที่ ๓๘ ฉบับที่ ๒ เม . ย .- มิ . ย . ๒๕๕๖ และกัน เป นการเห็นป จจุบันแต ละขณะของการเคลื่อนไหวอิริยาบถและของการหายใจเข าออก เป นต นว าสั้นมาก มีระยะเพียงชั่วกะพริบตา หรือหากจะยาวขึ้นนิดหน อยก็เพียงแค ช างกระดิกหู งูแลบลิ้น เป นการเห็นที่จะมีพัฒนาการไปตามลําดับขั้นจนกระทั่งถึงขั้นเบื่อหน ายในขันธ ๕ ซึ่งได เห็น แล วว ามีแต การเกิดแล วแตกดับ แม จะปรุงแต งดําเนินไปอย างต อเนื่องอย างไรก็ไม พ นไปจากอุ งมือของ กาลเวลาคือ อดีต ป จจุบัน อนาคตได เลย ตอนกลาง พระพุทธเจ าตรัสแนะนําให เร งทําความเพียรเผากิเลสนับแต วันนี้ เพราะพรุ งนี้ อาจตาย เพราะเราจะไปผัดผ อนกับความตายที่มีกองทัพมหึมาไม ได เลย และ ตอนสุดท าย พระพุทธเจ าตรัสสรุปว า มุนีผู สงบเรียกท านผู มีปรกติอยู ด วยการเห็นแจ ง ป จจุบันอย างนี้ มีความเพียรเผากิเลส ไม เกียจคร านทั้งกลางวัน กลางคืน ว า ผู มีราตรีเดียวเจริญ ในตอนนี้มีคําสําคัญคือ ผู มีราตรีเดียวเจริญ ซึ่งเป นพระพุทธพจน ที่น าจะแสดงลักษณะ อันสมบูรณ ของ ผู กินกาล ( กาลฆโส ) เพราะเหตุที่มีสติกําหนดดูรู ทันขณะป จจุบันอย างต อเนื่องจนกระทั่ง เหมือนไม มีกลางคืน กลางวัน มีแต ขณะป จจุบันเท านั้นปรากฏ ผู เขียนเข าใจว าการใช คํา ราตรี ในที่นี้ไม ได หมายถึงเพียงกลางคืน แต หมายถึง วัน ซึ่งรวมทั้ง กลางคืน กลางวันด วย เพราะในสมัยครั้งพุทธกาล การนับคืนวันของสังคมอินเดียโบราณเริ่มต นจาก กลางคืนไปกลางวันอย างนี้เรื่อยไป และที่สําคัญราตรีซึ่งครอบคลุมถึงกลางวันด วยยังอาจหมายถึง “ ขณะ ” ได ด วยเพราะทั้งราตรีและวันประกอบด วยเวลาส วนย อยต าง ๆ และขณะคือเวลาส วนย อย ที่เล็กที่สุด การเข าใจอย างนี้มีผลต อความหมายของคําแปลว า ผู มีราตรีเดียวเจริญ ซึ่งอาจตีความได อีกว า ผู มีขณะเดียวเจริญ อันแสดงถึงความจริงว ามีแต ขณะป จจุบัน ไม มีอดีต ไม มีอนาคต ๒ . ท าทีเพื่อการปรับใช ในชีวิตประจําวัน จากการศึกษาเรื่องกาลเวลาในลักษณะต าง ๆ รวมทั้งกาลเวลาที่มาเป นอายุขัยของมนุษย พบว าในยุคของพระพุทธเจ าแต ละพระองค อายุขัยของมนุษย ไม เท ากัน ในยุคของพระพุทธเจ าพระองค ป จจุบันมนุษย มีอายุขัย ๑๐๐ ป ซึ่งก็พบว ามีอยู ครบ ๑๐๐ ป บ างหรือเกินไปบ างก็จํานวนน อย เช น พระมหากัสสปะกับพระอานนท มีอายุ ๑๒๐ ป ที่มากที่สุดคือพระพากุละมีอายุ ๑๖๐ ป แต ส วนมาก ไม ถึง ๑๐๐ ป พระพุทธเจ าเองเสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา ซึ่งเป น ธรรมดาของพระพุทธเจ าทุกพระองค จะมีพระชนม อยู ไม ครบอายุขัยและจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน มีการแบ งพระชนมายุของพระพุทธเจ าทุกพระองค เป น ๕ ส วน ส วนละกี่ป นั้นขึ้นอยู กับจํานวนอายุขัย ในแต ละยุค อย างเช น ในยุคของพระพุทธเจ าพระองค ป จจุบัน มนุษย มีอายุขัย ๑๐๐ ป เมื่อแบ งเป น 134-151 Mac9.indd 145 10/8/13 7:23 PM
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=