สำนักงานราชบัณฑิตยสภา

ทศพร วงศ์รัตน์ 155 วารสารราชบัณฑิตยสภา ปีที่ ๔๐ ฉบับที่ ๑ ม.ค.-มี.ค. ๒๕๕๘ “พยายามตามกิจด้วยบิดา เป็นฐานานุประเทศอธิบดี จอมกษัตริย์มัสการขนานนาม เจ้าอารามอารัญธรรมรังษี เจริญพรตยศยิ่งมิ่งโมลี ก� ำหนดยี่สิบวสาสถาวร” (จาก “นิราศเมืองแกลง” พ.ศ. ๒๓๕๐) ขณะสุนทรภู่เดินทางไปเยี่ยมบิดาที่เมืองแกลง ได้นึกถึงมารดาที่อยู่วังหลังเมื่อต้องจากมา ได้พบ บิดาที่บวชอยู่ครบ ๒๐ พรรษา แล้วได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นพระธรรมรังษี เจ้าอาวาสวัดป่าที่ สังกัดอยู่ ขณะอยู่กับบิดา สุนทรภู่ท� ำตนบ� ำเพ็ญบุญถือศีล ดังมีกล่าวว่า “อยู่บ้านกร�่ ำท� ำบุญกับบิตุเรศ ถึง เดือนเศษโศกซูบจนรูปผอม” ตามเค้าสัญญาที่ผู้เขียนคาดไว้ โดยสุนทรภู่กับกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ในเรื่อง “โคบุตร” ด้วยฉายา “ธรรมรังษี” ของบิดา ขณะเป็นพระ น่าจะเป็นหลักฐานใช้แสดงที่มาจากชื่อแสง หรือ ในความหมายถึง แสงสว่าง ของบิดา แล้วคงจะคิดน� ำมาใช้เป็นชื่อตัวละครตัวแรก ในนิทานพระอภัยมณี ว่า ท้าวสุทัศน์ ที่ยังพาดพิงไปได้ถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดังกล่าวมาแล้ว (ดู ค� ำอธิบาย ในหมายเลข ๑๔, ๑๖-๑๘, ๒๕-๒๘) ๓. “ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่ แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย จะถามข่าวเช้าเย็นไม่เว้นวาย แต่เจ้าสายสุดใจมิได้มา” “พื้นผนังหลังบัวที่ฐานบัทม์ เป็นครุฆอัดยืนเหยียบภุชงค์ขย� ำ หยิกขยุ้มกุมภาสุกรีก� ำ กินนรร� ำรายเทพประนมกร” (จาก “นิราศพระบาท” พ.ศ. ๒๓๕๐) สุนทรภู่มีงานเป็นข้าราชบริพารของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ โอรสองค์ท้ายสุดของกรมพระราชวัง บวรสถานพิมุข ขณะบวชอยู่ที่วัดระฆัง แล้วเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทในเดือนกุมภาพันธ์ ปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๕๐ สุนทรภู่จึงต้องตามเสด็จ และระลึกถึงมารดาและนางนิ่มที่ต้องจากมา ที่วัดพระพุทธบาท ได้สังเกต ลายปูนปั้นที่คงจะท� ำให้คิดถึงมารดา เพราะมีการท� ำเป็นรูปดอกบัว หรือกลีบบัว จึงพยายามแต่งค� ำกลอน พาดพิงมารดาไว้อย่างที่ท� ำตลอดมา (ดู ค� ำกลอนหมายเลข ๑-๒, ๔-๑๘, ๒๐-๒๕, ๒๗-๓๐) ๔. “ข้าเป็นลูกพ่อขุนแผนแสนสะท้าน ข้างฝ่ายมารดาชื่อแม่วันทอง จะมาหาย่าชื่อทองประศรี อย่าเพ่อตีฉันจะเล่าความเศร้าหมอง” “เจ้าพลายงามถามย่าว่าพ่อแผน ต้องคับแค้นเคืองเข็ญเป็นไฉน

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=