สำนักงานราชบัณฑิตยสภา

ทศพร วงศ์รัตน์ 151 วารสารราชบัณฑิตยสภา ปีที่ ๔๐ ฉบับที่ ๑ ม.ค.-มี.ค. ๒๕๕๘ เรื่องนี้ พอจะเทียบได้กับกษัตริย์จีนในราชวงศ์ถัง (ค.ศ. ๖๑๘-๙๐๗) องค์หนึ่ง พระนามว่า “หลี” ทรงห้ามประชาชนของพระองค์เลี้ยงปลาหลีฮื้อ (หรือปลาไนที่เป็นชื่อไทยจากครั้งโบราณ) เพราะเป็น ชื่อพ้องกับพระนามของพระองค์ ชาวจีนจึงต้องดิ้นรนหาปลาอื่นมาเลี้ยงกัน ท� ำให้เกิดนวัตกรรมการเพาะ เลี้ยงปลาจีนเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด เช่น เฉาฮื้อ ลิ่นฮื้อ ซ่งฮื้อ หวันฮื้อ และการเลี้ยงปลาหลายชนิดในบ่อ เดียวกัน โดยแต่ละชนิดใช้พื้นที่ของระดับน�้ ำต่างกัน และยังมีชนิดของอาหารการกินต่างกัน จึงไม่แย่งอะไร กัน ท� ำให้ใช้ทุกอย่างในบ่อได้คุ้มค่า และมีผลผลิตเพิ่มขึ้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ในประวัติของสุนทรภู่ แต่ก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสามารถน� ำมาใช้เป็นหลักฐาน สนับสนุนความคิดของผู้เขียนเกี่ยวกับชื่อมารดาของสุนทรภู่ ที่น่าจะ ชื่อ บัว จึงขอน� ำมากล่าวไว้ในที่นี้ กล่าวคือ ม.จ.จันทรจิรายุวัฒน์ รัชนี หรือ พ. ณ ประมวญมารค ทรงเคย เล่าไว้ว่า ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ และสุนทรภู่ มาร่วมเล่นสักวาด้วยค� ำตายเป็นค� ำลงท้ายกัน ซึ่งยอมรับกันว่าเป็นเรื่องยาก โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงขึ้นน� ำก่อน ว่า “สักวาระเด่นเป็นมนตรี จรลีเลยลงสรงในสระ” - รัชกาลที่ ๒ “เอาพระหัตถ์ขัดพระองค์ทรงช� ำระ” - กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ “แล้วเรียกพระอนุชามากระซิบ” - สุนทรภู่ “นั่นกอบัวมีดอกเพิ่งออกฝัก” - รัชกาลที่ ๒ “จงไปหักเอาแต่ตัวฝักบัวดิบ” - กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ “โน่นอีกกอแลไปไกลลิบลิบ” - สุนทรภู่ “ให้ข้างในไปหยิบเอามาเอย” - รัชกาลที่ ๒ เรื่องนี้หากเป็นเรื่องจริง และคงจะเป็นเรื่องจริง ดังนั้น ผู้เขียนจึงอยากจะตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ คงจะทรงรู้จุดอ่อนของสุนทรภู่จากเบื้องหลัง ครั้งขอแก้ไขค� ำกลอนพระราชนิพนธ์ “บทละครเรื่องอิเหนา” ที่กล่าวมาข้างต้น จึงต่างพระองค์โดยเหมือน จะทรงรู้กัน แล้วทรงคิดหยอกเล่นสนุกกับสุนทรภู่ สร้างกรอบ เน้นเนื้อหาให้เป็นเรื่องของค� ำว่า “บัว” โดย เฉพาะกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ที่ทรงสร้างเรื่องให้เป็นการเก็บ หรือหักฝักบัว ให้กระทบสุนทรภู่ แล้วยังใช้ ค� ำว่า “ตัว” อย่างที่เคยมีปัญหาว่า จะให้หมายถึงตัวนางบุษบา หรือตัวปลา สุนทรภู่ที่น่าจะไม่รู้เรื่องมา ก่อนทั้งหมด แต่ด้วยไหวพริบ และสติปัญญา จึงรู้ทัน และไม่จนมุมที่จะต่อค� ำกลอนให้ไม่แย้งกับหลักการ ที่ทรงตั้งไว้ หรือที่ทรงกล่าวล่อไว้ อีกทั้งยังสามารถพาตัวหลบจากความหมายที่ตัวเองก็ไม่ต้องการ ท� ำนอง เมื่อครั้งแก้ไขพระราชนิพนธ์ดังกล่าว เมื่อหลายอย่างได้ทุ่มมาที่ตน การล่วงรู้ทัน หรืออย่างน้อยก็ในใจ

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=