สำนักงานราชบัณฑิตยสภา
เดื อน ค� ำดี 91 วารสารราชบัณฑิตยสภา ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒ เม.ย.-มิ.ย. ๒๕๕๙ เทวดาประเภทนี้ใคร ๆ จะเลือกเป็นโดยชอบใจไม่ได้เพราะจะต้องเป็นไปตามกฎมนเทียรบาล หรือสืบสกุล สันตติวงศ์ ๒) เทพโดยก� ำเนิด ได้แก่เทวดาจริง คือผู้เคยประกอบคุณงามความดีไว้ในชาตินี้แล้วผลแห่ง คุณงามความดีนั้นส่งสนองให้ได้ประสบสุขในเทวโลกหรือเกิดเป็นเทวดาในภพภูมิต่าง ๆ ในสุคติโลกสวรรค์ มีชั้นดาวดึงษ์ เป็นต้น และ ๓) วิสุทธิเทพ เทพโดยความบริสุทธิ์อย่างสูงได้แก่พระอรหันต์ พระปัจเจก พุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๗ อนึ่ง พรหมันหรือพระพรหม เทพเจ้าสูงสุดในพระเวทนั้น มีสภาวะเป็นนามธรรม มีความเป็น อมตะ สร้างโลกและสรรพสิ่งมีอยู่ เป็นอยู่นิรันดร ต่างจากพระพรหมหรือพระอินทร์ที่บางครั้งเรียก ท้าวสักกะเทวราชที่เป็นเทวดาในต� ำแหน่ง หรือครองสวรรค์ชั้นใดก็ตามที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกนั้น มีสภาพล้วนแต่รูปธรรมเป็นสัตว์โลก มีเกิด มีจุติ และตายไปจากภพภูมิเทวดาของตนได้ เช่นเดียวกับ มนุษย์ ที่ได้เป็นเทพก็เนื่องจากการบ� ำเพ็ญกุศลบุญในภพมนุษย์มาก่อน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเทวดา ประเภทที่ ๓ นี้ คือผู้บริสุทธิ์พร้อมทางกาย ทางวาจา และทางใจ อย่างสมบูรณ์ เป็นเทวดาสูงกว่าเทวดา โดยสมมติสูงกว่าเทวดาในสวรรค์ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ที่ประพฤติปฏิบัติตนให้บริสุทธิ์สะอาดทางกาย วาจา ใจเป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาบนสวรรค์ พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องเทวดาหรือพรหมบนพื้นโลก ซึ่งทุกคนอาจเป็นได้ อันสูงกว่าเทวดาทุกประเภท ส่วนเทวธรรม เหตุแห่งความเป็นเทวดา พระองค์ ตรัสว่า “ผู้ประกอบด้วยหิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต ประพฤติธรรม ฝ่ายขาวคือคุณงามความดี ชื่อว่ามีธรรมของเทวดา” ๒๘ ใน อังคุตรนิกาย มีเรื่องที่แสดงถึงวิสุทธิเทพคือ พระพุทธเจ้าผู้ปราศจากอาสวะกิเลสทั้งปวงเป็นผู้บริสุทธิ์ และทรงอยู่เหนือโลกที่ไม่ทรงมีทรงเป็นอะไร อีกแล้วว่า ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จพุทธด� ำเนินทางไกล พราหมณ์ผู้หนึ่งได้เดินทางไกลทางเดียวกับ พระองค์ มองเห็นรูปจักรที่รอยพระบาทแล้วมีความอัศจรรย์ใจ ครั้นพระองค์เสด็จลงไปประทับนั่งพัก ที่โคนไม้ต้นหนึ่งข้างทาง พราหมณ์เดินตามรอยพระบาทมา มองเห็นพุทธลักษณาการ ที่ประนั่งสงบลึกซึ้ง น่าเลื่อมใสยิ่งนัก จึงเข้าไปเฝ้าแล้วทูลถามว่า “ท่านผู้เจริญคงจักเป็นเทพเจ้า” พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “แน่ะพราหมณ์ เทพเจ้าเราก็จักไม่เป็น” ทูลถามต่อไปว่า “ท่านผู้เจริญคงจักเป็นคนธรรพ์” ตรัสตอบว่า “คนธรรพ์เราก็จักไม่เป็น” “ท่านผู้เจริญคงจักเป็นยักษ์” “ยักษ์เราก็จักไม่เป็น” “ท่านผู้เจริญคงจักเป็น มนุษย์ “มนุษย์เราก็จักไม่เป็น” ทูลถามว่า “เมื่อถามว่า ท่านผู้เจริญคงจักเป็นเทพ ท่านก็กล่าวว่า เทพเรา ก็จักไม่เป็น เมื่อถามว่าท่านผู้เจริญ คงจักเป็นคนธรรพ์ ....เป็นยักษ์ ....เป็นมนุษย์ ท่านก็กล่าวว่า จักไม่เป็น เมื่อเช่นนั้น ท่านผู้เจริญจะเป็นใครกันเล่า” ตรัสตอบว่า “นี่แน่ะพราหมณ์ อาสวะเหล่าใดที่เมื่อยังละไม่ได้ ๒๗ ขุ.จู.๓๐/๒๑๔/๑๑๒ ๒๘ อง.ทุก. ๒๐/๒๕๕/๖๕
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=