สำนักงานราชบัณฑิตยสภา

เดื อน ค� ำดี 89 วารสารราชบัณฑิตยสภา ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒ เม.ย.-มิ.ย. ๒๕๕๙ กับกัมโพช และชนบทชายแดนอื่น ๆ ที่มีคนเพียง ๒ วรรณะ คืออัยยะ (นาย) กับทาส คนเป็นนายแล้ว เป็นทาสก็ได้ คนเป็นทาสแล้วเป็นนายก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ พวกพราหมณ์จะเอาก� ำลัง เอาความสะดวกใจ อะไรมาอ้างในข้อที่ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ เป็นต้น แต่มาณพก็ยังยืนถ้อยค� ำตามเดิมว่า แม้ เช่นนั้นพวกพราหมณ์ก็ถือว่า วรรณะพราหมณ์ประเสริฐ ตรัสถามว่า ผู้ประพฤติชั่วทางกาย วาจา ใจ เมื่อตายไปก็เข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาตนรก เพียงวรรณะใดวรรณะหนึ่ง เช่น กษัตริย์ ส่วนวรรณะอื่น ไม่เป็นเช่นนั้นหรือ ทูลตอบว่า “เปล่า” ตรัสถามท� ำนองเดียวกัน ในทางท� ำดีว่าวรรณะใดวรรณะหนึ่ง เมื่อตายไปก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ วรรณะอื่นไม่เป็นเช่นนั้นหรือ ทูลตอบว่าเปล่า จึงตรัสสรุปทั้ง ๒ ตอนว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ จะกล่าวว่าวรรณะพราหมณ์ประเสริฐสุดได้อย่างไร เมื่อไม่มีอะไรพิเศษ คงได้รับผล เท่าเทียมกับวรรณะอื่นแต่อัสสลายนมาณพก็ยังคงยืนกรานว่าพวกพราหมณ์กล่าวว่า วรรณะพราหมณ์ ประเสริฐดังนี้ตรัสถามอีกว่า วรรณะใดวรรณะหนึ่งเท่านั้นหรือจึงควรเจริญพรหมวิหาร ๔ ควรถือด้ายถูตัว ไปอาบน�้ ำลอยธุลีละออง ควรสีไฟให้ติดได้มีเปลวไฟ มีสี มีแสง ก็ทูลตอบว่า ท� ำได้ด้วยกัน จึงตรัสสรุป ทั้ง ๓ ตอนนี้อีกให้เห็นว่า จะกล่าวว่าวรรณะพราหมณ์ประเสริฐสุดได้อย่างไร แต่มาณพก็ยังยืนยันตามเดิม และตรัสถามอีกว่า ชายหนุ่มที่เป็นกษัตริย์อยู่ร่วมกับหญิงสาวที่เป็นพราหมณ์ หรือชายหนุ่มที่เป็นพราหมณ์ อยู่ร่วมกับหญิงสาวที่เป็นกษัตริย์ มีบุตรออกมา จะเรียกกว่ากษัตริย์ก็ได้ พราหมณ์ก็ได้ ใช่หรือไม่ ทูลรับรอง แสดงว่าพราหมณ์ไม่ประเสริฐจริง ตรัสถามว่า แม่ม้ากับพ่อฬาอยู่ร่วมกันเกิดลูกขึ้น เรียกว่าม้าก็ได้ ฬาก็ได้ ใช่หรือไม่ ทูลตอบว่าลูกที่เกิดแต่สัตว์ทั้งสองนั้น เป็นม้าอัสดร ตนเห็นความต่างกันในข้อนี้ แต่ไม่เห็น ความเหมือนกันแห่งบุคคลในรายก่อน ตรัสถามว่า มาณพสองคนเป็นพี่น้องร่วมอุทร คนหนึ่งสาธยาย มนต์ได้ ได้รับการฝึกหัด อีกคนหนึ่งมิใช่ผู้สาธยายมนต์ มิใช่ผู้ได้รับการฝึกหัด พวกพราหมณ์จะเชิญให้ คนไหนบริโภคก่อนในพิธีสารท (อุทิศให้ผู้ตาย) ในอาหารบรรณาการ ในยัญพิธีและในของต้อนรับ ทูลตอบว่า เชิญให้สาธยายมนต์ ผู้ได้รับการฝึกหัดให้บริโภคก่อน เพราะของที่ให้ในผู้ไม่สาธยายมนต์ ผู้มิได้รับการฝึกหัด จะมีผลมากได้อย่างไร ตรัสถามว่า มาณพ ๒ คนเป็นพี่น้องร่วมอุทร คนหนึ่งสาธยาย มนต์ได้ ได้รับการฝึกหัด แต่เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม อีกคนหนึ่งไม่สาธยายมนต์ ไม่ได้รับการฝึกหัด แต่มีศีล มีกัลยาณธรรม พวกพราหมณ์จะเชิญให้คนไหนบริโภคก่อน ทูลตอบว่า เชิญผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ให้บริโภคก่อน เพราะของที่ให้ผู้ทุศีลมีบาปธรรม จะมีผลมากได้อย่างไร ตรัสสรุปว่า “ครั้งแรกท่านกล่าว ถึงชาติ ว่าส� ำคัญ ครั้นแล้วกล่าวถึงมนต์ ว่าส� ำคัญ ครั้นแล้วก็ยกมนต์นั้นเสีย กล่าวถึงความบริสุทธิ์ที่มีใน วรรณะทั้งสี่ตามที่เราบัญญัติไว้” ดังนี้ ความตามพระสูตรนี้ แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงยกเหตุผลต้อนให้มาณพยอมแสดงว่า ชาติไม่ ส� ำคัญเท่ามนต์ มนต์ไม่ส� ำคัญเท่าความประพฤติ เป็นการจ� ำนนต่อเหตุผลอย่างสมบูรณ์แล้วที่สุด อัสสลายน-

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=