สำนักงานราชบัณฑิตยสภา
337 มนั ส สุวรรณ วารสารราชบัณฑิตยสภา ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒ เม.ย.-มิ.ย. ๒๕๕๙ ๒. ทิศทางลม โดยธรรมชาติ ลมคือการเคลื่อนที่ของมวลอากาศจากบริเวณหย่อมความกด อากาศสูง (H) ไปยังบริเวณที่มีความกดอากาศต�่ ำ (L) ด้วยเหตุนี้ การก� ำหนดทิศทางลมจึงไม่สามารถก� ำหนด ได้เป็นการแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นลมที่เกิดขึ้นในพื้นที่หรือในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน อย่างไร ก็ตาม กรณีของลมที่พัดประจ� ำทั้งในเชิงพื้นที่และเวลาการก� ำหนดทิศทางลมสามารถท� ำได้ค่อนข้างชัดเจน การเรียกชื่อลมอาจเรียกตามถิ่นหรือทิศที่เป็นต้นก� ำเนิดลม เช่น ลมบกพัดจากภาคพื้นทวีปสู่ทะเล ในขณะที่ ลมทะเลพัดจากทะเลสู่ภาคพื้นทวีป ลมตะวันตก (Westeriy) พัดจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก และ ลมตะวันออก (Eastey) พัดจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก เป็นต้น (ดูรูปที่ ๑ และรูปที่ ๓ ประกอบ) พิจารณาโดยรวม ลมที่เคลื่อนที่อยู่เป็นประจ� ำบนพื้นโลกไม่ได้มีทิศทางในแนวเหนือ-ใต้ระหว่าง บริเวณที่มีหย่อมความกดอากาศสูงกับบริเวณที่มีหย่อมความกดอากาศต�่ ำ ทิศทางของลมจะเบี่ยงไปตาม อิทธิพลของแรงคอริออลิส (coriolis effect) ซึ่งเป็นแรงที่เกิดจากการโคจรรอบตัวเองของโลกจากทิศตะวัน ตกไปทางทิศตะวันออก วิลเลียม เฟอร์เรล (William Ferrel) นักอุตุนิยมวิทยาชาวอเมริกันพบว่า แรง ดังกล่าวมีส่วนท� ำให้เกิดการเคลื่อนที่ของลมเบี่ยงไปทางขวามือในซีกโลกเหนือและเบี่ยงไปทางซ้าย มือในซีกโลกใต้ ข้อค้นพบนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในทางภูมิศาสตร์ว่า“กฎของเฟอร์เรล” (Ferrel’s Law) (www.en.wikipedia.org ) ปรากฏการณ์ตามกฎของเฟอร์เรลสามารถใช้เป็นฐานในการ อธิบายว่าท� ำไมจึงเรียกลมมรสุมฤดูร้อนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่า “มรสุมตะวันตกเฉียงใต้” และ ท� ำไมจึงเรียกลมมรสุมฤดูหนาวว่า “มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ” ๓. พายุฤดูร้อน หรือ พายุฝนฟ้าคะนอง ท� ำไมพายุฝนฟ้าคะนองต้องเกิดในฤดูร้อนและท� ำไม เมื่อเกิดพายุฤดูร้อนจึงมักมีลมกระโชกแรง เกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และลูกเห็บ ด้วยเสมอ ปัจจัยส� ำคัญ ที่น� ำไปสู่การเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง คือ อุณหภูมิของอากาศ ความชื้นในอากาศ และแรงยกตัวของอากาศ พายุประเภทนี้เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงฤดูร้อนเนื่องจากอุณหภูมิของอากาศจะสูงเป็นพิเศษ อากาศที่เบาและ กระจายตัว ประกอบกับการมีความชื้นสัมพัทธ์ค่อนข้างสูงลอยตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อากาศที่เย็นกว่า เคลื่อนเข้าแทนที่อย่างรวดเร็วเช่นกันจนกลายเป็นลมกระโชก อากาศร้อนที่ลอยตัวสูงขึ้นจะเริ่มเย็นตัวลง ความชื้นสัมพัทธ์เพิ่มมากขึ้นจนถึงจุดของความชื้นสัมบูรณ์ (absolute humidity) และก่อตัวเป็นเมฆฝน ด้วยความแปรปรวนของอากาศที่มีค่อนข้างสูงมากท� ำให้เมฆที่กลั่นตัวเป็นฝนยังตกลงไม่ถึงพื้นดิน แต่ถูกลม พัดตลบกลับขึ้นไปเบื้องบนอีกหลายต่อหลายครั้ง (ขึ้นอยู่กับระดับความแปรปรวนของอากาศ) การก่อตัว เป็นลูกเห็บเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์นี้ ยิ่งน�้ ำฝนถูกพัดตลบขึ้นไปมากครั้งเท่าไร ขนาดของลูกเห็บก็จะจับ ตัวเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนมีน�้ ำหนักมากพอที่จะต้านลมแปรปรวนตกลงสู่พื้นดิน
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=