สำนักงานราชบัณฑิตยสภา
บทบาทของสตรี อเมริ กั นเชื้ อสายแอฟริ กาในขบวนการเลิ กทาส 304 The Journal of the Royal Society of Thailand Vol. 41 No. 2 April-June 2016 บทบาทของขบวนการเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา ชนผิวด� ำเชื้อสายแอฟริกาส่วนใหญ่ถูกน� ำเข้ามาในสังคมอเมริกันในฐานะทาสเพื่อประโยชน์ ทางเศรษฐกิจของภาคใต้เป็นหลัก แม้กฎหมายของสหรัฐอเมริกาให้การรับรองสถานะของทาสไว้ชัดเจน แต่สถานะและความเป็นอยู่ที่ทุกข์ยากของทาสผิวด� ำก็ท� ำให้ชาวอเมริกันที่เคร่งศาสนาในภาคเหนือบางกลุ่ม มีความรู้สึกเห็นใจและต่อต้านการมีทาสในสังคมอเมริกัน กลุ่มต่อต้านการมีทาสได้รณรงค์ช่วยเหลือ เพื่อปลดปล่อยทาสหลายวิธี กระทั่งพัฒนาเป็นขบวนการเลิกทาส ที่มาขบวนการเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา ในค.ศ. ๑๖๑๙ หลังก่อตั้งอาณานิคมอเมริกาได้ไม่นาน ชาวผิวขาวได้น� ำแรงงานผิวด� ำเชื้อสายแอฟริกาจ� ำนวน ๒๐ คน เข้ามาท� ำงานในอาณานิคมเวอร์จิเนียในฐานะแรงงานตามสัญญา (indentured servants) ๒ ซึ่งได้รับอิสรภาพและที่ดินท� ำกินเมื่อ ปฏิบัติงานครบตามสัญญาเช่นเดียวกับแรงงานผิวขาวที่น� ำเข้ามาจาก อังกฤษในสถานะแรงงานตามสัญญา อย่างไรก็ตามตั้งแต่ทศวรรษ ๑๖๖๐ เป็นต้นมา อาณานิคมในภาคใต้บางแห่ง เช่น เวอร์จิเนียและ แมริแลนด์เริ่มออกกฎหมายที่ก� ำหนดให้แรงงานผิวด� ำที่ถูกน� ำเข้ามา ภายหลังมีสถานะเป็นทาสที่ต้องท� ำงานรับใช้เจ้าของทาสตลอดชีวิต และลูกของชนผิวด� ำที่เกิดในดินแดนอเมริกาก็มีสถานะเดียวกับมารดา ผู้ให้ก� ำเนิด ต่อมา กฎหมายลักษณะดังกล่าวได้แพร่ขยายไปยัง อาณานิคมอื่นๆ ด้วย ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ จ� ำนวนทาส ผิวด� ำในสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้นถึง ๖๙๗,๖๒๔ คน ขณะที่มีชนผิวด� ำเสรีเพียง ๕๙,๕๕๗ คน ๓ เนื่องจากมีการน� ำเข้าแรงงานทาสผิวด� ำจากแอฟริกาจ� ำนวนมาก เพื่อรองรับการขยายตัวของการท� ำไร่ ขนาดใหญ่ในภาคใต้ที่อาศัยแรงงานทาสผิวด� ำเป็นหลัก เฉพาะช่วง ค.ศ. ๑๘๑๐-๑๘๓๐ จ� ำนวนทาส เพิ่มขึ้นจาก ๑,๒๐๐,๐๐ คนเป็นมากกว่า ๒,๐๐๐,๐๐๐ คน ๔ จ� ำนวนทาสที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสะท้อน ถึงความส� ำคัญของทาสที่เป็นก� ำลังส� ำคัญของเศรษฐกิจภาคใต้และเป็นทรัพย์สินหวงแหนของเจ้าของทาสที่ ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แต่การที่เจ้าของทาสส่วนใหญ่บังคับใช้งานทาสอย่างหนักตลอดเวลาและ แผลเป็นบนหลังทาสที่ถูกโบย ๒ John Hope Franklin and Alfred A. Moss, Jr. (1994), From Slavery to Freedom : A History of African American, p.56. ๓ bid., p. 85. ๔ Paul S. Boyer and others, (1995), Enduring Vision: A History of the American People , p.221.
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=