สำนักงานราชบัณฑิตยสภา
วารสารราชบัณฑิตยสภา ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๓ ก.ค.-ก.ย. ๒๕๕๙ 3 เหมือนเฉลิมพระเกียรติ ในหน้า ๑๐๗๙ ว่า “ พวกข้าเฝ้าเคารพอภิวาท ชมฉลาดเหลือดีจะมีไหน จะลือชาปรากฏพระยศไกร เหมือนร่มไทรซึ่งจะผ่อนให้หย่อนเย็น ด้วยเดชะพระปัญญาอานุภาพ จะเรียบราบบ้านเมืองไม่เคืองเข็ญ ทั้งศึกเสือเหนือใต้จะวายเว้น ควรจะเป็นปิ่นจังหวัดปถพีฯ ” ยังมีฉากเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางน�้ ำของบ้านเมืองไทย จากหลายทิศ หลายทาง หลายสภาพ ที่สุนทรภู่เคยผ่านไปพบเห็นในทุกทิศจากกรุงเทพฯ ตามนิสัยของตัวเอง เมื่อเดินทาง เพื่อแต่งนิราศ แล้วเอามาแปลงไว้ ในบางส่วนของการเดินทางทางบก หากตรงกับหน้าแล้งที่มีการฉลองวัด เช่น วัดพระแท่นดงรัง ในเดือน ๔ ทุกปี แต่ส่วนใหญ่เป็นทางน�้ ำ ในเดือน ๑๐-๑๒ ซึ่งสมัยนั้นเป็นเส้นทาง หลัก ด้วยการเดินทางทางเรือ เช่น วัดภูเขาทอง วัดเจ้าฟ้า (ในเค้าของวัดมเหยงคณ์) ที่พระนครศรีอยุธยา สุนทรภู่ยังจินตนาการเป็นฉากไปไกลถึงเมืองลาวในศึกเจ้าอนุวงศ์ และถึงชวา ลังกา อินเดีย ในศึกกับฝรั่ง ด้วยฉากที่คงจะเอามาจากค� ำบอกเล่า และภาพเขียนเมืองฝรั่งในสมุดภาพไตรภูมิเป็นส่วนใหญ่ หรือจากจิตรกรรมฝาผนังวัดเกาะแก้วสุทธาราม ที่เพชรบุรี เมืองที่สุนทรภู่คุ้นเคย อีกทั้งบนแผ่นกระดาน ไม้สักในวิหารพระพุทธไสยาสน์ วัดโปรดเกศเชษฐาราม (สร้าง พ.ศ. ๒๓๕๗) อ� ำเภอพระประแดง จังหวัด สมุทรปราการ และยังมีกล่าวอยู่อีกใน “ ร� ำพันพิลาป ” แต่ที่ส� ำคัญคือ ฉากจริงของวังหลวง หรือพระบรม มหาราชวังที่สมัยนั้นมีคูคลองหรือแม่น�้ ำล้อมรอบ และวัดวาอาราม ท่าหน้าวัง หรือท่าหน้าแพ (ท่าราชวรดิษฐ์ ในปัจจุบัน) หน้าพระลาน ท่าหน้าพระลาน (ท่าช้างวังหลวง หรือท่าพระ ในปัจจุบัน) ในจินตนาการให้เป็น เมืองรัตนาเป็นส� ำคัญ ที่เดียวกันนี้ สุนทรภู่ยังเรียก “ กลางเมือง ” เช่น ตามค� ำกลอนที่เป็นเหตุการณ์สดของ การแต่ง ตอนที่ ๘ หน้า ๑๒๖ ว่า “ ละครโขนหุ่นหนังตั้งกลางเมือง ” ในเค้าของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวคือ บริเวณถนน “ หน้าพระลาน ” ซึ่งยังใช้เริ่มส� ำหรับเป็นที่ตั้งเมือง การะเวก ในเค้าของวังหน้าพระลานวังกลาง ตามค� ำกลอนตอนที่ ๒๕ สุดสาครไปตามชีเปลือยที่เมือง การะเวก หน้า ๓๙๓, ๓๙๘ ว่า “ ถึงศาลาหน้าพระลานทวารวัง ” “ พี่ไปเล่นเย็นแล้วมาหน้าพระลาน ” ซึ่งเป็นการแต่งในปีชวด พ.ศ. ๒๓๗๑ ในเค้าของวังหน้า (บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในปัจจุบัน) ในเวลาของการแต่งต่อมา ตรงกับการเดินทางจากจีนมาไทย โดยมิชชันนารีชาวเยอรมัน นายแพทย์คาร์ล กุตซลัฟฟ์ โดยบุคลิกจึงเกิดค� ำกลอนส� ำหรับชีเปลือย ตั้งแต่ในตอนที่ ๒๔ หน้า ๓๘๒ ว่า “ หนวดถึงเข่า เคราถึงนมผมถึงตีน ฝรั่งจีนแขกไทยก็ใช่ที ” ยังมีเรื่องราวของฝรั่งที่ต้องใช้ทักษะในการตีความที่น่าสนใจก็เช่น เมื่อสุนทรภู่แต่งไว้ในตอนที่ ๓๒ หน้า ๕๖๘ ไว้ว่า “ ถึงเดือนห้าฝรั่งสิ้นทั้งหลาย ไปถวายวันทาบูชาศาล ” เรื่องนี้เมื่อคิดว่า สุนทรภู่อ้างเดือน ทศพร วงศ์รัตน์
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=