รวมเล่ม

.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๓๙ ฉบับที่ ๑ ม.ค.-มี.ค. ๒๕๕๗ 258 สวัสดิการสังคมสำ �หรับเด็กในสังคมไทย ไปถึงป่วยพร้อมกัน มีอาการป่วยเหมือนกันและหายป่วยในวันเดียวกัน ลักษณะนิสัยของทั้งคู่จะ ทำ �อะไรประสานกลมกลืนกันไปหมดไม่ค่อยเถียงกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนคนเดียวกัน เพราะเขา สามารถสนทนาโดยต่างคนต่างคุยกับอีกคนหนึ่งในเวลาเดียวกันได้ในหัวข้อเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ด้านอุปนิสัยนั้น อินค่อนข้างจะเป็นคนเงียบ ใจเย็น เจ้าความคิด ส่วนจันมีนิสัยใจร้อน เจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียวง่าย แต่ทั้งคู่เป็นเด็กที่ซน จะชอบไต่ขึ้นไปบนเนินเตี้ย ๆ แล้วกอดกันกลิ้งลงมาแล้วพากัน หัวเราะอย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังชอบวิ่งข้ามรั้ว พอเมื่อตอนที่ทั้งคู่อายุได้ ๘ ขวบ พ่อก็เสียชีวิตไป เนื่องจากอหิวาตกโรคเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๒ อิน-จันจึงต้องมีหน้าที่ช่วยงานแม่เลี้ยงเป็ดขายไข่ ขายน้ำ �มัน มะพร้าว ทำ �ไข่เค็มขาย และหาปลา ทั้งสองฉายแววฉลาดให้เห็นตั้งแต่เด็ก ๆ (กนกวรรณ ดำ �รงค์กุล, ๒๕๕๕ : ๑๐) ครั้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้า ตอนเดิน ทางเข้ากรุงเทพมหานคร หลังจากที่ได้เข้าเฝ้าฯ แล้ว ใน พ.ศ. ๒๓๗๐ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชานุญาตให้อิน-จันร่วมเดินทางไปกับคณะทูตสยาม ในการไปเจริญสัมพันธ- ไมตรีกับประเทศเวียดนามในปัจจุบัน อิน-จันได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ มีชาวตะวันตก ๒ คน คือ นายอาเบล คอฟฟิน (Abel Coffin) และพ่อค้าชาวสก็อตชื่อ นายรอเบิร์ต ฮันเตอร์ (Robert Hunter) ได้ตั้งห้างอยู่หน้าวัดประยูรวงศ์ ได้ทราบเรื่องฝาแฝดอิน-จันจึงเดินทางมาหา เมื่อเห็นแฝด อิน-จันว่ายน้ำ �ไปขึ้นเรือและพายเรืออย่างคล่องแคล่วจึงสนใจขอนำ �แฝดออกเดินทางไปต่างประเทศ ทางการสยามได้อนุญาตให้แฝดอิน-จันเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และในเวลาต่อมาแฝด อิน-จันถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๗ เมื่ออายุได้ ๖๓ ปี (กนกวรรณ ดำ �รงค์กุล, ๒๕๕๕ : ๑๑; วิชิต ศุภฤกษ์, ๒๕๕๕ : ๖) ในกรณีของแฝดอิน-จัน ทางเลือกในชีวิตของเด็กแฝดได้รับอิทธิพลจากระบบความเชื่อของ ของคน ๔ กลุ่ม คือ ชาวบ้าน หมอ ครอบครัว และชาวตะวันตกที่รับอุปการะ ตามความเชื่อชาวบ้าน ว่าเด็กแฝดเป็นกาลกิณีของบ้านเมืองควรแยกเด็กทางสรีระ สำ �หรับพ่อแม่เด็กยืนยันว่าจะเลี้ยงดูเด็ก สำ �หรับหมอเป็นการตัดเด็กสองคนให้แยกออกจากกัน สำ �หรับชาวตะวันตกเป็นการให้การอุปการะ ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกใด เป็นการสะท้อนเจตจำ �นงของผู้ที่เกี่ยวข้องในการให้เด็กแฝดดำ �รงชีวิต ตามปรกติและคืนสังคม หากแต่วิทยาการทางการแพทย์ในสมัยก่อนอาจไม่มีความทัดเทียมกับใน ปัจจุบัน ๓ ๓ อ่านเพิ่มเติมแนวคิดเกี่ยวกับทางเลือกและการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลใน Anita Faatz, “The Movement of the Self in Choice” in The Nature of Choice and Other Selected Writings , New York: AMS Press, INC, 1985: 139 - 149.

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=