รวมเล่ม

.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๓๙ ฉบับที่ ๑ ม.ค.-มี.ค. ๒๕๕๗ 206 มัชฌิมนิยม ละเมิดศีลธรรมได้ย่อมละเมิดกฎหมายและธรรมเนียมประเพณีได้แน่นอน ผู้นำ �ต้องทรงศีลเป็นแบบ อย่างของมหาชน บริจาค : ต้องเป็นนักเสียสละตัวอย่าง สละกำ �ลังกาย กำ �ลังทรัพย์ กำ �ลังสติปัญญา จนถึงสละได้แม้กระทั่งชีวิต เพื่อประชาชน ถือเสมอว่า ความสุขสมหวังของประชาชนคือของตนด้วย ไม่ใช่ความสุขสมหวังของตนคือของประชาชน “แม้นว่าถูกขอให้เสียสละซึ่งชีวิต ก็ยินดีอุทิศให้ แม้น ว่าถูกขอให้สละซึ่งศีรษะหรือนัยน์ตาหรืออวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายนี้ ก็ยินดีเสียสละให้หาก การสละเช่นนั้นจักบังเกิดคุณประโยชน์และสันติสุขอันคุ้มค่าแก่ประชาชนได้...” อาชวะ : ต้องเป็นคน ซื่อตรง ซื่อสัตย์สุจริต เที่ยงธรรมยุติธรรม และจริงใจ ไม่เป็นทาสอคติ มือถือสากปากถือศีล หน้าเนื้อ ใจเสือ มัทวะ : ต้องสุภาพอ่อนโยน นอบน้อมถ่อมตน เจียมตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง เอาดีเอาเด่น เป็น กัลยาณมิตรกับทุกคน ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่ทำ �ตัวเป็นผู้อันใคร ๆ แตะต้องมิได้ เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คน อื่น มัวเมาลุ่มหลงและเหลิงในอำ �นาจ ตบะ : ต้องมีจิตใจเข้มแข็งไม่ตามใจตน องอาจกล้าหาญทาง จริยธรรม ใช้พระเดชเสมอพระคุณเผาผลาญความชั่วร้ายในวงการต่าง ๆ ของรัฐ อักโกธะ : ต้องไม่ ผูกโกรธอาฆาตพยาบาทและแค้นเคือง แสดงพระเดชข่มเหงผู้อื่น เป็นคนสุขุมเยือกเย็น ลุ่มลึก สงบ ละเว้นอิจฉาริษยาอาฆาตมาดร้าย อวิหิงสา : ต้องไม่ประกอบกรรมหรือให้ผู้อื่นทำ �กรรมใด ๆ ในทาง เบียดเบียนให้ทุกข์ผู้อื่น แต่ต้องทำ �ทุกอย่างทุกทางและทุกโอกาสเพื่อสันติสุขภายในภายนอกประเทศ ขันติ : ต้องหนักแน่นมั่นคง อดทนอดกลั้นไม่ลุแก่อำ �นาจความทะยานอยาก ต้องมีน้ำ �อดน้ำ �ทนกว่าคน อื่น ต่อความยากลำ �บากทุกขเวทนา ความเจ็บใจไม่พอใจ และเหนืออื่นใดต้องทนต่อสู้กับอำ �นาจใฝ่ต่ำ � อวิโรธะ : ต้องละเว้นการประกอบกรรมผิดในเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น เฉพาะอย่างยิ่ง ผิดความรู้สึกนึกคิด และจิตใจประชาชนทุกหมู่เหล่า เหนืออื่นใด บุคคลหรือคณะบุคคลผู้ทำ �หน้าที่รัฐบาลย่อมต้องยึดหลักธรรมาธิปไตยเป็น รากฐานแห่งนิติธรรม และเป็นธรรมาภิบาลสู่นิติรัฐ ประชาชนจึงแซ่ซ้องสรรเสริญและเชิดชู และนั่น ย่อมหมายถึง เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ แต่ถ้าเป็นไปตรงข้าม ประชาชนย่อมโกรธแค้นชิงชัง ด่าทอ ประท้วงทั้งที่ลับและที่แจ้ง ก่อความกระด้างกระเดื่อง เช่นนี้เสียงประชาชนคือเสียงนรกแท้ ๆ นำ �สู่ความพินาศล่มจมแก่สังคมและสิ้นชาติ “...ในยุคใดสมัยใด ผู้นำ �ทำ �หน้าที่ปกครองบริหาร ประชาอาณาราษฎร์ด้วยอธรรม เป็นทรราชย์และเผด็จการ ในยุคนั้นสมัยนั้นและประเทศนั้น ประชาชนย่อมเกิดความรู้สึกนึกคิดฝังจิตฝังใจและสาปแช่งว่า น้ำ �ก็กลายเป็นเปลวเพลิง ความ ปลอดภัยก็กลับกลายเป็นความหวาดกลัว รอยยิ้มก็กลับกลายเป็นรอยน้ำ �ตา ปวงมหาประชาชน เป็นศัตรูกับมหาประชาชนด้วยกัน และเป็นศัตรูกับผู้นำ �ผู้นำ �มุ่งแต่จะใช้กำ �ลังปราบปราม ประชาชน และแล้วทั้งหมดย่อมถึงกลียุคประสบหายนะถ้วนหน้ากัน…” ๓๘ ๓๘ MN. II, p. 367 ff. , AN. II. p. 179 ff. , JK. III, p. 513 ff.

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=