รวมเล่ม

.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๓๙ ฉบับที่ ๑ ม.ค.-มี.ค. ๒๕๕๗ 205 สิทธิ์ บุตรอินทร์ เป็นอำ �นาจสูงสุดและพลังสูงสุดคุ้มครองโลก ศาสตราจารย์ ดร.แบรีย์ กล่าวย้ำ �ข้อนี้ความตอนหนึ่ง ว่า “...ในบรรดาปรัชญาสังคมและการเมืองแต่อดีตจนปัจจุบัน เท่าที่เรารู้จักกันมานั้น อาจถือได้ว่า พุทธปรัชญาได้เสนอแนะแนวคิดเรื่อง ทางสายกลางแห่งสัญญาประชาคม โดยถือธรรมเป็นอำ �นาจ สูงสุด นำ �พาสู่รากเหง้าและแก่นแท้ของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ให้แก่ดวงความคิดทางการ เมืองของมนุษย์เป็นครั้งแรกในโลก...” ๓๕ ตามระบอบธรรมาธิปไตยนี้ ๓๖ ผู้ให้ทำ �หน้าที่รับผิดชอบปกครองบริหารคนแรกในสังคมมนุษย์ ได้มาด้วยวิธีสัญญาประชาคมที่มหาประชาชนสมัครใจร่วมกันทำ �ขึ้น ให้ถือเป็นแบบฉบับความ สัมพันธ์ตามสิทธิหน้าที่ระหว่างมหาประชาชนด้วยกันกับผู้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำ � ทำ �หน้าที่ ปกครองบริหารโดยฉันทามติมหาประชาชนภายใต้หลักธรรมาธิปไตย ได้แก่ มนุษยธรรม สังคหธรรม คารวธรรม สามัคคีธรรม ขันติธรรม สันติธรรม อหิงสาธรรม ยุติธรรม และปัญญาธรรม บุคคล หรือคณะบุคคลผู้ได้รับการคัดเลือกตามสัญญาประชาคมนี้ จึงได้สมมติกนามว่า มหาชนสัมมตะ พันธะหน้าที่แม่บทและแนวปฏิบัติ ในการปกครองบริหารระบอบนี้ สรุปได้ ๒ ลักษณะได้ดุลยภาพกัน คือ นิคคหะ : การข่ม กำ �ราบ ปราบปราม และลงโทษโดยธรรม เฉพาะผู้สมควรได้รับเพราะประกอบ ทุจริตกรรม ผิดศีลธรรมและนิติธรรม เช่นนี้คือ ลักษณะพระเดช-เดชานุภาพ และปัคคหะ : การชมเชย ยกย่อง เชิดชูเกียรติคุณ สนับสนุนส่งเสริมและปูนบำ �เหน็จรางวัลความดีความชอบโดยธรรม ให้แก่ ผู้สมควรได้รับ เช่นนี้คือ ลักษณะพระคุณ-คุณานุภาพ ถืออำ �นาจธรรมเป็นอำ �นาจสูงสุดเหนืออื่นใด แต่ไม่ใช่สิ่งมุ่งหมายสูงสุดของมนุษย์ เป็นเพียงหลักการและมรรควิธีสายกลางทางการเมืองการ ปกครองเท่านั้น เพื่อให้มหาประชาชนบรรลุสิ่งมุ่งหมายชีวิต บุคคลหรือคณะบุคคลผู้ได้รับฉันทามติให้เป็นรัฐบาลปกครองบริหารประเทศจึงต้องพร้อม ด้วยคุณสมบัติพิเศษ ๑๐ ประการตามระบอบธรรมาธิปไตย เรียกว่า ทศพิธราชธรรม (ทสราชธมฺมา) เป็นแก่นคุณสมบัติของผู้นำ �ประเทศ “ผู้ยังมหาประชาชนพึงพอใจด้วยน้ำ �ใสใจจริง เหตุดำ �รงชีวิต มั่นคงสงบสุขสมหวังจึงได้เนมิตกนามว่า ธัมมิกราชา” คือ ๓๗ ทาน : ต้องเป็นฝ่ายให้ ไม่ใช่เอาแต่รับ ใจ กว้างใจถึง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัวแก่ได้ ไม่ตกเป็นทาสละโมบโลภมาก ไม่มุ่งแต่แสวงหาสะสม สิ่งปรนเปรอกามสุขารมณ์แห่งตนและคนของตน แต่มุ่งพัฒนาสิ่งช่วยเหลือเกื้อกูลประชาราษฎร์ให้ ได้รับประโยชน์สุขถ้วนหน้า ศีล : ต้องครองตนอยู่ในศีลธรรมโดยเคร่งครัดเหนือประชาราษฎร์ ผู้ ๓๕ Prasad, B. “Theory of Government in Ancient India”, p. 208, Political Theory and Administrative System , Vol. II, p. 304 ff, London 1942. ๓๖ DN. III, p. 83 ff. ๓๗ DN. II, p. 252 ff.; JK. II., p. 367-375, 400-409 ; III, p. 320 ff., AN. II. p. 174; JK. IV, p. 402 ff.

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=