รวมเล่ม
.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๓๙ ฉบับที่ ๑ ม.ค.-มี.ค. ๒๕๕๗ 201 สิทธิ์ บุตรอินทร์ คร่ำ �ครวญรอแต่งงานกับนางฟ้าที่แม้ตนเองและใคร ๆ ก็ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นว่า นางฟ้าที่ใฝ่ฝันถึงนั้น มีอยู่จริงที่ไหนและเป็นอย่างไร... และอุปมาเหมือนกับที่พวกท่านพากันกระตือรือร้นสร้างบันไดเพื่อ พาดปีนป่ายหมายขึ้นสู่วิมานสวรรค์ชั้นฟ้า (สร้างวิมานในอากาศ) ซึ่งตนเองและใคร ๆ ก็ไม่รู้ไม่เคย ประสบพบเห็นว่า วิมานนั้นเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนคนจะข้ามแม่น้ำ � ได้อย่างไร เพียงกวักมือเรียกร้องวิงวอนให้ฝั่งตรงข้ามเลื่อนขยับเข้ามารับตนโดยไม่อาศัยการช่วย ตนเอง ต่อเรือหรือแพพายข้ามไปยังฝั่งโน้น ในความเป็นจริงในโลกและของชีวิตแห่งประสบการณ์ และปฏิบัติการตามแนวทางแห่งความถูกต้องพอดีพอควร เพียงอุทิศตน ทรมานสวดมนต์อ้อนวอน วิงวอนขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อ้างว่าเป็นพระพรหมให้ช่วย ตามคำ �สอนผิด ๆ ของลัทธิศาสนาเดิม ๆ ด้วย ความหลงใหลงมงายไร้เหตุผลนั้น ไม่ใช่แนวทางนำ �พาสู่ความแท้จริง ถูกต้องดีงาม ประโยชน์สุข และ ความสิ้นทุกข์ของมวลมนุษย์ได้เลย...” ๒๗ “...ดังนั้น ตถาคตจึงอาศัยเมตตาธรรมกล่าวสอนเฉพาะเรื่อง ที่เป็นจริง ถูกต้องดีงาม ให้ประโยชน์สุขและเพื่อความสิ้นทุกข์ แม้ไม่เป็นที่รักที่ชอบอกชอบใจของ ผู้เกี่ยวข้องก็ตาม ทั้งนี้ ควรต้องคำ �นึงถึงเหตุผลความพอดี ความพอเหมาะพอควร ด้านกาลเทศะ บุคคล ชุมชนและประโยชน์สุขที่ผู้เกี่ยวข้องพึงได้รับประกอบอีกด้วย...” ๒๘ ๓.๒ มัชฌิมาปฏิปทา : พระพุทธองค์ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ในธัมมจักกัปปวัฒนสูตร ได้แก่ ความทุกข์ (ทุกฺขํ) มีอยู่จริงเหตุให้เกิดทุกข์ (ทุกฺขสมุทโย) มีอยู่จริง ความดับทุกข์ (ทุกฺขนิโรโธ) เป็น ไปได้จริง และแนวทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ (ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทา) ปฏิบัติได้ผลจริง ทรงตรัส เรียกอริยสัจข้อที่ ๔ นี้ว่า “มัชฌิมาปฏิปทา–ทางสายกลาง” สู่ความดับทุกข์มี ๘ องค์ประกอบคือ เห็น ชอบ ดำ �ริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ ระลึกชอบ และตั้งใจชอบ ทาง สายกลางนี้มีความหมายโยงถึงดุลยภาพในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มนุษย์กับมนุษย์ และกายกับจิตมนุษย์กับธรรมชาติ เข้าใจได้ ๒ มิติ คือ ทางปรวิสัย หมายถึงโลกแห่งธรรมชาติ และ ทางอัตวิสัย หมายถึงโลกแห่งความเป็นมนุษย์ ทั้ง ๒ มิติเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา มนุษย์ได้รับการปรุงแต่งขึ้นด้วยองค์ประกอบทางวัตถุธรรม-กายภาพ กับ นามธรรม- จิตภาพ ทั้ง ๒ องค์ประกอบต้องได้สมดุลกัน-ความพอดีไม่ขาดไม่เกิน จึงถือได้ว่าเ ป็นชีวิตมนุษย์ครบ ถ้วน โลกธรรมชาติพร้อมมนุษย์ย่อมเกิดขึ้นไหลเลื่อนเคลื่อนไหวและแปรเปลี่ยนไปไม่หยุดยั้งแนว วัฏจักรตามกระบวนพัฒนาการและวิวัฒนาการ “...เมื่อกาลผ่านไปประมาณมิได้ โลกจึงค่อยวิวัฒน์ (วิวตฺตติ) ขึ้นมาใหม่ตามลำ �ดับ จนกระทั่งถึงวาระสิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์ได้เกิดขึ้นใหม่ตามมา สิ่งมี ๒๗ สุตฺ. ทีฆ. ๙/๑๓/๒๗๑-๒๗๖ ๒๘ สุตฺ.ม.มช.๙๔/๙๑๑๔๓, MN II 173-174.
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=