รวมเล่ม

.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๓๙ ฉบับที่ ๑ ม.ค.-มี.ค. ๒๕๕๗ 180 กระแสความคิดจริยศาสตร์สุขภาพในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ ตะวันตก การนำ �หลักการทางจริยธรรมดังกล่าวไปใช้ก็มีข้อแตกต่างกันและเป็นประเด็นโต้แย้งกันอยู่ บทวิพากษ์ : แนวความคิดเรื่องการเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และหลักจริยธรรมสากลของการ ให้บริการทางการแพทย์ รวมถึงการจำ �แนกประเภทปัญหาจริยธรรม วิธีการพิจารณาปัญหาจริยธรรม ซึ่งเริ่มขึ้นในประเทศตะวันตก เมื่อนำ �ไปใช้ในประเทศอื่นจะพบข้อแตกต่างทางความเชื่อ วัฒนธรรม และการปฏิบัติหลายประการ ประการแรกรูปแบบของการให้บริการแบบผู้ปกครอง (Paternalism) หรือเยี่ยงบิดาและบุตร ซึ่งหมายถึงอำ �นาจในการตัดสินใจ การปฏิบัติจะอยู่ที่ฝ่ายแพทย์โดยมีพื้นฐาน จากการคำ �นึงถึงการก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ป่วย และมีความรู้ที่ดีกว่า ฝ่ายผู้รับบริการหรือผู้ป่วยจึง เป็นฝ่ายรับรู้และปฏิบัติตาม การซักถาม การตัดสินใจด้วยตนเองค่อนข้างน้อย ปัจจุบันถึงแม้ผู้ป่วยใน สังคมจะมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น มีความตื่นตัวในสิทธิเสรีภาพ แต่ประชาชน ในระดับพื้นฐานของสังคมก็ยังคงเชื่อฟังและปฏิบัติตามฝ่ายให้บริการโดยเฉพาะแพทย์ ประการที่ ๒ วิธีการคิดและความเชื่อบางอย่างก็อาจไม่สอดคล้องกับหลักจริยธรรมสากล เช่น ในสังคมไทยการพูด ความจริงที่เป็นข่าวร้ายแก่ตัวผู้ป่วย แพทย์มักไม่กระทำ �เพราะเกรงผลกระทบต่อจิตใจและอาการของ ผู้ป่วย ส่วนใหญ่จะพูดกับญาติครอบครัวผู้ป่วย ประการที่ ๓ แนวความคิดเรื่องการจ่ายค่าชดเชยตาม หลักของความยุติธรรมที่เป็นหลักมนุษยธรรม ในสังคมไทยจะเข้าใจความหมายในขั้นสุดท้าย คือ การ จ่ายหลังจากเป็นคดีความและมีคำ �พิพากษาจากศาล เรื่องนี้ทางฝ่ายองค์การสุขภาพโดยกระทรวง สาธารณสุขเป็นหลักเสนอให้มีการไกล่เกลี่ยทำ �ความเข้าใจก่อนที่จะเกิดเป็นคดีความ และมีสถาน พยาบาลหลายแห่งที่ได้ปฏิบัติตามหลักการนี้ คือเจรจากับฝ่ายผู้ป่วยและญาติและจ่ายค่าชดเชยไป ตามความเหมาะสมปรากฏตามสื่อมวลชนอยู่เสมอ ประการที่ ๔ รูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่าง แพทย์กับผู้ป่วยจากอดีตจะมีลักษณะของการเคารพ เชื่อถือตระหนักในบุญคุณของเมตตาธรรมและ ความช่วยเหลือที่ได้รับจากแพทย์ เมื่อเกิดผลเสียจากการรักษา การฟ้องร้องเป็นคดีความจึงไม่ค่อย ปรากฏ แต่ปัจจุบันรูปแบบของความสัมพันธ์ดังกล่าว ได้รับผลกระทบจากกระแสสังคม และกระบวน ทัศน์ของบุคคล การฟ้องร้องเป็นคดีความปรากฏให้เห็นเพิ่มขึ้น ประการสุดท้าย ในสังคมไทยมีพระ ราชบัญญัติสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่มีเนื้อหาบางส่วนสอดคล้องกับกระแสความคิดจริยศาสตร์สุขภาพ ในศตวรรษที่ ๒๑ เช่น “มาตรา ๑๒ กล่าวถึงการแสดงเจตนาไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุขที่เป็น ไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ (advance directive หรือ living will) เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคล ตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำ �นั้นเป็นความผิดและพ้นจากความผิดทั้งปวง เรื่องนี้ในสังคม

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=