รวมเล่ม
.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๓๙ ฉบับที่ ๑ ม.ค.-มี.ค. ๒๕๕๗ 178 กระแสความคิดจริยศาสตร์สุขภาพในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ การนำ �ผู้ป่วยที่เป็นมาลาเรียแล้วมาทดสอบยา ฯลฯ ทำ �ให้มีการวางกฎเกณฑ์การวิจัยในคนขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๕๓ เรียกว่า กฎนูเรมเบิร์ก (Nuremberg Code) ประกอบด้วยกฎรวม ๑๐ ข้อ โดยข้อที่ ๑ กำ �หนดว่า “ความยินยอมโดยสมัครใจของอาสาสมัครมีความสำ �คัญขั้นสมบูรณ์” (The voluntary consent of the human subject is absolutely essential) อย่างไรก็ตามกฎกรุงนูเรมเบิร์กซึ่ง เขียนโดยนักกฎหมายซึ่งวางกรอบเพื่อการวิจัยในมนุษย์เป็นกรอบที่ค่อนข้างแคบจึงไม่เป็นที่ยอมรับ มากเท่าที่ควร ได้มีการพยายามศึกษาหาหลักเกณฑ์ทางจริยธรรมเพื่อใช้ในการวิจัยในมนุษย์และ ในการรักษาที่ไม่ใช่การวิจัย โดยสถาบันชั้นนำ �ทางการแพทย์หลายแห่ง เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ค.ศ. ๑๙๗๙ คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อคุ้มครองอาสาสมัครในการวิจัยทางชีวเวชศาสตร์และพฤติกรรม ศาสตร์ สหรัฐอเมริกา ได้เสนอรายงานเบลมองต์ (The Belmont Report) ซึ่งวางหลักจริยธรรม ของการวิจัยในมนุษย์ พร้อมวิธีการประยุกต์ใช้หลักการดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมเป็นที่ยอมรับอย่าง กว้างขวางในระดับสากล ๑๕ หลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ตามรายงานของเบลมองต์ประกอบด้วย ๑. หลักการเคารพในความเป็นบุคคล (respect for person) ๒. หลักการมุ่งประโยชน์และไม่ก่อให้เกิดอันตราย (Beneficence and Non maleficence หรือ Do good and Do no harm) ๓. หลักความยุติธรรม (Justice) หลักจริยธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นหลักจริยธรรมของการประกอบวิชาชีพแพทย์ (Ethical principles for medical practice) แต่การตีความการนำ �ไปประยุกต์ใช้ต้องพิจารณาตามความ เหมาะสมแต่ละวัตถุประสงค์ ต่อมา แพทยสมาคมโลกหรือดับเบิลยูเอ็มเอ (World Medical Association–WMA) ได้ประกาศปฏิญญาเฮลซิงกิ (Declaration of Helsinki) ค.ศ. ๑๙๖๔ และได้มี การประชุมปรับปรุงเรื่อยมาใน ค.ศ. ๑๙๘๓, ๑๙๓๙, ๑๙๙๖ และ ค.ศ. ๒๐๐๐ สภาองค์การสากลด้าน วิทยาศาสตร์การแพทย์หรือซีไอโอเอ็มเอส (Council for International Organizations of Medical Sciences–CIOMS) องค์การอนามัยโลกหรือดับเบิลยูเอชโอ (World Health Organization –WHO) ให้การสนับสนุนหลักจริยธรรมดังกล่าวรวมถึงสถาบันชั้นนำ �ทางการแพทย์ในยุโรป และไม่ ได้จำ �กัดขอบเขตเฉพาะการทำ �วิจัยในมนุษย์เท่านั้น แต่ได้ใช้ปฏิบัติในการให้บริการทางการแพทย์เป็น สากล ๑๖ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๑๕ วิชัย โชควิวัฒน. จริยธรรมในการวิจัยทางคลินิก ความรู้เกี่ยวกับการทำ �วิจัย (ในคน) สำ �นักงานเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาการ ศึกษาวิจัยในคน : กระทรวงสาธารณสุข หน้า ๕. ๑๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒-๔.
Made with FlippingBook
RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=