วารสารปี-40-ฉบับที่-4-resize

เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม 55 วารสารราชบัณฑิตยสภา ปีที่ ๔๐ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๘ นั้นจะต้องมีผู้เสียภาษีเพียงรายเดียวคือ กองมรดกของผู้ตาย ซึ่งจะท� ำให้การบริหารการจัดเก็บท� ำได้ง่าย และ เก็บภาษีได้มากกว่า และมีความเป็นธรรมมากกว่าในกรณีที่ใช้อัตราการเก็บแบบก้าวหน้าในการจัดเก็บ ส่วนการจัดเก็บในรูปของผู้รับมรดกนั้นมีข้อยุ่งยากในการบริหารการจัดเก็บมากกว่า เช่น มีผู้รับมรดกหรือทายาท ๑๐ ราย จากกองมรดกของผู้ตาย จ� ำนวนผู้ที่จะต้องเสียภาษีก็จะต้องถึง ๑๐ ราย ดังนั้น ในทางทฤษฎีการบริหารการจัดเก็บภาษีก็ควรจะเลือกรูปแบบการเก็บภาษีจากกองมรดก มากกว่าการจัดเก็บภาษีจากผู้รับมรดก ประการที่สาม ถ้าจุดมุ่งหมายที่จะใช้ภาษีมรดกเพื่อแก้ปัญหาความเป็นธรรมในสังคม แล้ว ก็ควรจะเก็บภาษีในอัตราที่ค่อนข้างสูง เพื่อลดความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันระหว่างบุคคล ในรุ่นต่อไป กล่าวคือถ้าอัตราภาษีสูงพอสมควร ลูกหลานของคนที่ร�่ ำรวยก็จะได้เปรียบลูกหลานคนที่ยากจน น้อยลงเพราะได้รับมรดกน้อยลง ในประเทศญี่ปุ่นอัตราภาษีมรดกจะสูงถึงประมาณร้อยละ ๓๕ กล่าวคือถ้าลูกหลาน ที่ได้รับมรดกแล้วไม่ท� ำงานหรือหารายได้เพิ่มเติม กองมรดกนั้นก็จะหมดไปในระยะเวลาเพียง ๓ ชั่วคน เท่านั้น ประการสุดท้าย ภาษีการรับมรดกปี ๒๕๕๘ จะไม่ช่วยแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม ในสังคมได้เลย แต่อาจจะมีผลในด้านจิตวิทยาอยู่บ้าง และท� ำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในประเทศทุนนิยมนั้น จะต้องแก้ด้วย การมีผู้น� ำทางการเมืองที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความสามารถในการบริหารจัดการและมีความมุ่งมั่น ทางการเมืองที่จะแก้ปัญหารากฐานของสังคมอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกันจะต้องมีระบบภาษีและระบบการใช้จ่ายของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ในการแก้ปัญหาสังคม ซึ่งจะได้กล่าวถึงในล� ำดับต่อไป สาระส� ำคัญของกฎหมายภาษีการรับมรดก พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๑๑ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒ ให้บุคคลผู้ได้รับมรดกดังต่อไปนี้เป็นผู้มีหน้าที่ เสียภาษี ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ (๑) บุคคลผู้มีสัญชาติไทย

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=