วารสารปี-40-ฉบับที่-4-resize

ฝรั่งเหตุจูงใจสุนทรภู่แต่งนิทานพระอภัยมณีค� ำกลอน 166 The Journal of the Royal Society of Thailand Volume 40 Number 4 Oct-Dec 2015 จึงโปรดพระราชทานที่ให้ บริเวณใต้บ้านต้นส� ำโรง (เป็นสถานทูตโปรตุเกสปัจจุบัน ซึ่งดั้งเดิมเป็นบริเวณ ที่อยู่ขององเชียงสือ เจ้าเมืองญวน ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เมื่อเสียเมืองแก่พวกองไกเซิน ตั้งแต่ปีขาล พ.ศ. ๒๓๒๕) แล้วทรงตั้งให้เป็นหลวงอภัยพานิช โปรตุเกสจึงเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่มีสถานกงสุล และ เปิดด� ำเนินการได้ใน พ.ศ. ๒๓๖๓ ทันที ได้ใช้หน้าบ้านกงสุลเป็นโรงต่อเรือปากกว้าง ๔ วา ๓ ศอก (ด� ำรงราชานุภาพ, ๒๕๔๖) บรรทุกสินค้าของหลวงเป็นเที่ยวแรกออกไปเมืองจีน ดังกล่าวมาแล้ว ในครั้งแรกที่ทูตโปรตุเกสเข้ามาด้วยเรืออิยันเต เป็นเรือ ๒ เสา และคุมเครื่องบรรณาการเข้ามา ถวายขอเจริญทางพระราชไมตรี สิ่งของนั้นได้แก่ ฉากเขียนรูปพระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกสแผ่น ๑ พิณอย่างฝรั่ง เครื่องเงินส� ำรับ ๑ ระย้าแก้วมีโคมคู่ ๑ กระจกใหญ่รูปกลม ๒ แผ่น เชิงเทียนแก้วส� ำหรับกระจก ๒ คู่ เชิงเทียนแก้วมีโคมคู่ ๑ กระบี่ฝักกาไหล่ทอง ๒ เล่ม สุจหนี่พื้นก� ำมะหยี่ริมเลี่ยมเงินมีพรมรอง ๒ ผืน ตัวอย่างก� ำปั่น ๒ ล� ำ และว่า ถ้าจะต้องการพระราชประสงค์สิ่งไร ก็สั่งให้ทูตออกไปจะได้จัดหามาถวาย ที่ส� ำคัญอีก โดยเริ่มในปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๖๔ คือประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร (James Monroe) ฝากให้กัปตันแฮน (Captain Han) พ่อค้าชาวอเมริกัน เมื่อรู้ว่าไทยต้องการปืน จึงน� ำปืนคาบศิลาเข้ามาขาย ถึง ๒ ครั้ง แลกกับน�้ ำตาลทราย แล้วยังได้ถวายปืนคาบศิลา ๕๐๐ กระบอก ก็พระราชทานสิ่งตอบแทนคุ้มค่า ราคาปืน และยกเลิกภาษีจังกอบพระราชทานอีกส่วนหนึ่ง ด้วยความชอบดังกล่าว จึงทรงโปรดตั้งกัปตันแฮน เป็นหลวงภักดีราชกัปตัน พระราชทานถาดหมาก คนโทกาไหล่ เป็นเครื่องยศ (ด� ำรงราชานุภาพ, ๒๕๔๖) เป็นที่น่าสังเกตว่า ชาวต่างประเทศที่เข้ามาค้าขายในเมืองไทยสมัยนั้น ระหว่างฝรั่งกับจีนและแขก ผิดกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ด้วยฝรั่งมักใช้อ� ำนาจข่มเหง แม้ฝรั่งด้วยกันเองก็ชิงผลประโยชน์ระหว่างกัน หลายครั้งยังมีการรบฆ่าฟันกัน ยังมีการใช้พฤติกรรมและอาวุธเข้าบังคับเจ้าของบ้านเมือง เช่น ขอที่ตั้ง ท� ำคลังสินค้า แล้วกลับเปลี่ยนแปลงเป็นป้อม แต่ฝ่ายพวกจีนและแขกอ่อนน้อมด้วย ที่ผ่านมาไทยจึงพอใจ ท� ำการค้ากับจีนและแขกมากกว่าฝรั่งที่เข้ามาด้วยอาวุธและความดิ้นรน เห็นแก่ตัว ทั้งนี้ ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ ซึ่งการค้าขายกับต่างประเทศ ก็ท� ำให้ได้เงินภาษีอากรมากกว่าที่ได้จากกิจการภายในประเทศ กล่าวคือ “ส� ำหรับภาษีอากรค่านาอย่าง ๑ อากรสวนอย่าง ๑ อากรบ่อนเบี้ยอย่าง ๑ ภาษีด่านขนอน อย่าง ๑ อากรตลาดอย่าง ๑ ที่เก็บในรัชกาลที่ ๒ คือค่าราชการอย่าง ๑ จ� ำนวนเงินภาษีอากรทั้งปวงนี้ ที่ได้ปี ๑ ไม่ใคร่พอจับจ่ายใช้สอยในราชการ ต้องแต่งส� ำเภาไปค้าขายหาก� ำไรเพิ่มเติม ครั้งนั้นมีเรือก� ำปั่นหลวง ๒ ล� ำ ชื่อเรือมาลาพระนครล� ำ ๑ เรือเหราข้ามสมุทรล� ำ ๑ แต่งไปค้าขายถึงอินเดียบ้าง ไปเพียงเกาะหมากบ้าง เมืองสิงคโปร์บ้าง เมืองหมาเก๊าบ้าง เจ้านายแลข้าราชการที่มีทุนทรัพย์ต่างก็ต่อก� ำปั่นไปเที่ยวค้าขาย...”

RkJQdWJsaXNoZXIy NTk0NjM=